History of Fashion
แฟชั่นแม่ญิงลาวตามแบบราชสำนักหลวงพระบาง: ในช่วงทศวรรษที่ 1920
แฟชั่นแม่ญิงลาวตามแบบราชสำนักหลวงพระบาง: ในช่วงทศวรรษที่ 1920 (สมัยปลายรัชกาลที่ ๖ ถึงต้นรัชกาลที่ ๗)
การแต่งกายตามแบบฉบับราชสำนักหลวงพระบาง ด้วยการแต่งกายอันวิจิตรบรรจง สะท้อนถึงวัฒนธรรมและสถานะของราชวงศ์ล้านช้าง แฟชั่นของแม่ญิงลาวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการแต่งตัวของราชสำนักฝ่านในของราชสำนักหลวงพระบาง ในยุคนี้ได้รับอิทธิพลจาก ผ้าทอพื้นเมือง ผ้าไหมและผ้ายกจากจีน และอินเดีย โดยมีลวดลายที่ประณีตและเปี่ยมไปด้วยความหมายทางสังคม
"สะละบับ" และความงดงามของเสื้อสาบเสื้อซ้อนทับ
เอกลักษณ์ของการแต่งกายของเจ้านางในราชสำนักคือ "สะละบับ" เสื้อแขนยาวกระชับลำตัวที่มีสาบเสื้อมาซ้อนทับกัน โดยทำจาก ผ้าไหมเนื้อดี และปักลวดลายอย่างวิจิตรด้วย ดิ้นทองและดิ้นเงิน ลวดลายปักมักได้รับแรงบันดาลใจจาก ศิลปะจีนและอินเดีย สื่อถึงความมั่งคั่งและความสูงศักดิ์ สะละบับมักสวมคู่กับ ผ้านุ่ง หรือ ผ้าซิ่น ซึ่งทอจาก ไหมเนื้อดีและเสริมด้วยดิ้นทองหรือเงิน ลวดลายบนผ้าซิ่นเหล่านี้สะท้อนถึงฐานะของผู้สวมใส่ โดยสีที่ได้รับความนิยมในราชสำนักคือ สีน้ำเงินเข้ม สีม่วง สีเขียวมรกต และสีแดงเข้ม ซึ่งล้วนแต่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ เช่น ปัญญา ความเจริญรุ่งเรือง และความศักดิ์สิทธิ์
ผ้าเบี่ยง – สไบเฉียง: เครื่องแต่งกายที่สะท้อนสถานะ
ผ้าเบี่ยง เป็นผ้าไหมยาวที่พาดบนไหล่ และถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของเครื่องแต่งกายของแม่ญิงลาว ผ้าไหมปักลายจากอินเดียและจีน ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมักจะปักดิ้นทองเป็นลวดลายอันงดงาม และปลายผ้ามักมี ชายครุยหรือพู่เพื่อเพิ่มความวิจิตร สไบที่ใช้ในชีวิตประจำวันอาจมีความเรียบง่ายกว่า แต่สำหรับงานพระราชพิธีหรือโอกาสพิเศษ จะใช้ผ้าที่ปักลายอย่างแน่นหนาด้วยดิ้นทองหรือเงิน เพื่อเน้นย้ำถึงความสูงศักดิ์ของผู้สวมใส่ เครื่องประดับและอาภรณ์เสริม ต่างจากบางวัฒนธรรมในภูมิภาคเดียวกัน
แม่ญิงลาวหลวงพระบางไม่ได้สวม "เลิ้งเคิ้ง" (เครื่องประดับศีรษะ) ในชีวิตประจำวันแต่จะใช้เฉพาะในงานพิธีสำคัญหรืองานแต่งงาน ดังนั้นความงามของแม่ญิงลาวจึงเน้นไปที่ ทรงผมและเครื่องประดับทองคำ แม่ญิงลาวนิยมเกล้าผมแบบมวยเบี่ยง โดยตกแต่งด้วยปิ่นทองคำหรือเครื่องประดับลวดลายประณีต ส่วนเครื่องประดับที่ใช้ ได้แก่ กำไลและสร้อยข้อมือทองคำ ที่สลักลวดลายอ่อนช้อย ตุ้มหูแบบ “เสียบหู” ซึ่งเป็น เครื่องประดับขนาดใหญ่ที่สอดเข้ากับใบหูที่เจาะรูขนาดใหญ่ ลักษณะตุ้มหูจะเป็น ทองคำหัวหมุดและด้ามเหมือนปิ่นปักผม หรือฝังอัญมณี เช่น ไพลิน ทับทิม สร้อยคอ ทองคำ สำหรับเครื่องแต่งกายส่วนล่าง มักเป็นถุงเท้าไหมคู่กับรองเท้าหนังสีดำหัวแหลม ซึ่งได้รับอิทธิพลจาก แฟชั่นยุโรปในยุคอาณานิคมฝรั่งเศส ซึ่งบ่งบอกถึงความสมดุลระหว่างขนบโบราณและอิทธิพลจากภายนอก
จาก “นางสาวสยาม” สู่ “นางสงกรานต์พระประแดง” ทศวรรษ ๒๔๗๐
จาก “นางสาวสยาม” สู่ “นางสงกรานต์พระประแดง” ทศวรรษ ๒๔๗๐
คอลเลกชันแฟชั่นที่สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ เป็นการเฉลิมฉลองมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของ ประเพณีสงกรานต์พระประแดง เทศกาลสำคัญของชาวไทยเชื้อสายมอญ (รามัญ) ซึ่งสืบทอดมาอย่างยาวนานและมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น โดยได้รับแรงบันดาลใจจากความละเมียดละไมและสง่างามของ การประกวดนางสาวสยาม ในยุค 2470s (1930s) ซึ่งถือเป็นยุคทองแห่งความงามแบบหญิงไทยร่วมสมัย
รูปแบบการคัดเลือกนางสงกรานต์ของชาวมอญพระประแดงในอดีต ถือเป็นต้นแบบสำคัญที่ต่อมาได้ถูกนำไปใช้ในการจัดประกวดนางสงกรานต์ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย โดยเปลี่ยนจากการ “คัดเลือกสาวงามประจำปี” ให้กลายเป็นเวทีประกวดที่คล้ายคลึงกับการประกวด “นางสาวสยาม” ซึ่งเน้นความงดงาม ความสงบเสงี่ยม และกิริยามารยาทอันอ่อนช้อยของหญิงไทย
เทศกาลสงกรานต์พระประแดง จัดขึ้นในวันอาทิตย์ถัดจากวันสงกรานต์ทั่วไป ซึ่งตรงกับช่วงปลายเดือนเมษายน อันเป็นเวลาสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยว ชาวบ้านจึงถือโอกาสนี้รวมญาติ ทำบุญ บูชาบรรพบุรุษ และร่วมเฉลิมฉลองกันอย่างรื่นเริง ภายใต้บรรยากาศแห่งความผ่อนคลาย
หัวใจของประเพณีนี้คือ ขบวนแห่นางสงกรานต์ ซึ่งสะท้อนความงดงามตามขนบธรรมเนียมโบราณ โดยสาวงามจากแต่ละชุมชนจะได้รับเชิญเข้าร่วมขบวนผ่านวิธีการที่สืบทอดกันมายาวนาน คือ การมอบพานหมากพลูจีบ โดยผู้ใหญ่ที่ได้รับความเคารพนับถือจะเป็นผู้นำพานไปเชิญสาว ๆ ตามจำนวนที่ต้องการ ซึ่งผู้ใดได้รับพานหมากพลู ก็ถือเป็นการตอบรับเข้าร่วมขบวนแห่ในฐานะตัวแทนแห่งความงามของชุมชน
การแต่งกายของผู้เข้าร่วมขบวนในอดีตนั้นเรียบง่ายและเป็นไปตามความสะดวก โดยทั่วไปนิยมสวม โจงกระเบน ห่ม ผ้าสไบหรือ ผ้าถุง ตามที่หาได้ เมื่อสาว ๆ มารวมตัวกันครบ คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะพิจารณาคัดเลือกผู้ที่งามพร้อมที่สุดให้ดำรงตำแหน่ง นางสงกรานต์ประจำปี ส่วนผู้เข้าร่วมคนอื่น ๆ จะได้รับเกียรติเป็น นางฟ้า หรือ นางประจำปี ร่วมเดินขบวนด้วยกันอย่างสง่างาม
ต่อมาได้มีการปรับรูปแบบการคัดเลือกให้เป็นทางการมากยิ่งขึ้น โดยคณะผู้จัดจะพิจารณาสาวงามชาวพระประแดงแท้ล่วงหน้าก่อนถึงวันงาน เพื่อเชิญมาดำรงตำแหน่งนางสงกรานต์ประจำปีอย่างเหมาะสม
ผมได้นำภาพถ่ายต้นฉบับจากช่วงปี พ.ศ. 2480–2500 ซึ่งบันทึกเหตุการณ์การประกวดนางสงกรานต์และขบวนแห่ในอดีตมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบแฟชั่นครั้งนี้ ภาพเหล่านี้ไม่เพียงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่า หากยังช่วยจุดประกายการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายย้อนยุคผ่านมุมมองร่วมสมัยด้วย AI
คอลเลกชันนี้จึงนำเสนอการแต่งกายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากทั้ง การประกวดนางสาวสยาม และ การประกวดนางสงกรานต์พระประแดง โดยอิงจากแฟชั่นหญิงไทยในช่วง พ.ศ. 2470 เช่น สไบ โจงกระเบน ผ้านุ่ง และผ้าซิ่น เพื่อร้อยเรียงภาพแห่งความงามในจินตนาการของนางสงกรานต์แห่งพระประแดงในอดีต
สงกรานต์ เสื้อบ่าห้อย และจิตรกรรมฝาผนังสมัยรัชกาลที่ 6: แฟชั่นสไตล์ Art Deco แห่งนครลำปาง
งกรานต์ เสื้อบ่าห้อย และจิตรกรรมฝาผนังสมัยรัชกาลที่ 6: แฟชั่นสไตล์ Art Deco แห่งนครลำปาง
คอลเลกชันภาพจาก AI ชุดนี้สร้างสรรค์ขึ้นด้วยเทคโนโลยี Flux LoRA โดยผ่านการฝึกฝนด้วยโมเดล 2 ตัว และใช้การปรับน้ำหนักเพื่อให้ได้ภาพที่กลมกลืนและมีองค์ประกอบที่สวยงามสมบูรณ์แบบ และคอลเลกชันนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากแฟชั่นสตรีในสไตล์ Art Deco แห่งทศวรรษ 1920 ผสานกับบรรยากาศของ เทศกาลปี๋ใหม่เมือง หรือ สงกรานต์ล้านนา ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองตามขนบธรรมเนียมของชาวเหนือที่เปี่ยมด้วยรากเหง้าทางวัฒนธรรมและความงามแบบพื้นถิ่น
หัวใจสำคัญของคอลเลกชันนี้คือ ซิลลูเอ็ตต์ ของแฟชั่นยุค 1920 ที่เน้นความหลวม สบายตัว และปลอดจากโครงสร้างคอร์เซ็ตแบบยุควิกตอเรียน ซึ่งถูกนำมาจินตนาการใหม่ผ่านภาพของหญิงสาวชาวลำปางในช่วงปลายรัชกาลที่ 6 ถึงต้นรัชกาลที่ 7 ผู้ซึ่งแต่งกายด้วย เสื้อบ่าห้อย หรือ เสื้อคอกระเช้า จับคู่กับ ผ้าซิ่นต๋า พร้อมทรงผมบ๊อบสั้นลอนคลื่น เพื่อร่วมงานบุญในเทศกาลปี๋ใหม่เมือง เช่น การทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ และพิธีดำหัวผู้ใหญ่
แม้จะมีการเล่นสาดน้ำเพื่อคลายร้อน แต่แก่นแท้ของปี๋ใหม่เมืองยังคงเน้นการชำระล้างจิตใจ (ไล่สังขาร), การตานขันข้าวเพื่ออุทิศส่วนกุศล และพิธีขอขมาผู้ใหญ่เพื่อสืบสานคุณธรรมและความกตัญญูภายในครอบครัวล้านนา
พัฒนาการของ “เสื้อบ่าห้อย” จากโลกตะวันตกสู่แฟชั่นไทย
เสื้อบ่าห้อย ที่กลายเป็นเสื้อประจำบ้านของหญิงไทยในเวลาต่อมา แท้จริงแล้วมีต้นกำเนิดจาก เสื้อทับคอร์เซ็ต (corset cover) ของสตรีชั้นกลางและชั้นสูงในยุควิกตอเรียน โดยเดิมเป็นเสื้อชั้นในที่สวมทับคอร์เซ็ตเพื่อให้ดูเรียบร้อย และเพิ่มชั้นปกป้องระหว่างร่างกายกับเครื่องแต่งกายภายนอก
ในขณะที่โลกตะวันตกมองว่าเสื้อทับคอร์เซ็ตเป็นเสื้อชั้นในที่ไม่ควรเผยให้เห็นในที่สาธารณะ หญิงสาวชาวกรุงเทพฯ ในช่วงปลายรัชกาลที่ 5 และต้นรัชกาลที่ 6 กลับเริ่มสวมเสื้อประเภทนี้เป็นเสื้อนอกในชีวิตประจำวัน สะท้อนกระบวนการ ผสมผสานทางวัฒนธรรม หรือ cultural hybridity ตามแนวคิดของ Homi Bhabha ที่ชี้ว่าการเลียนแบบวัฒนธรรมของผู้มีอำนาจในบริบทอาณานิคมมิได้หมายถึงการยอมจำนน หากแต่เปิดพื้นที่ให้การตีความใหม่และสร้างอัตลักษณ์เฉพาะตน
แม้สยามจะไม่เคยตกเป็นอาณานิคมโดยตรง แต่ก็ได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตกในเชิงเศรษฐกิจ การทูต และวัฒนธรรม นักมานุษยวิทยา Michael Herzfeld เรียกสถานการณ์นี้ว่า “อาณานิคมอำพราง” (crypto-colonialism) ซึ่งทำให้ชนชั้นนำไทยปรับรูปแบบการแต่งกายและรสนิยมให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
เสื้อบ่าห้อย ในบริบทนี้ จึงเป็นผลจากการปรับใช้เสื้อชั้นในแบบตะวันตกให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศแบบเมืองร้อน โครงสร้างที่เรียบง่าย ไม่รัดแน่น และการสวมใส่สบาย ทำให้เสื้อนี้กลายเป็นทั้งเครื่องแต่งกายประจำบ้าน และเสื้อออกงานในบางโอกาส โดยยังสะท้อนถึงความสมัยใหม่ในแบบสยามอย่างชัดเจน
ลำปางกับการปรับใช้เสื้อบ่าห้อยอย่างมีเอกลักษณ์
ในลำปางช่วงปลายรัชกาลที่ 6 เสื้อบ่าห้อย ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นท้องถิ่น โดยหญิงสาวมักสวมคู่กับผ้าซิ่นลายพื้นเมือง ทรงผมสั้นลอนคลื่น และเครื่องประดับแบบล้านนา เพื่อร่วมในเทศกาลสำคัญอย่างสงกรานต์ แฟชั่นในสไตล์นี้ถูกถ่ายทอดอย่างงดงามใน จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ วัดบุญวาทย์วิหาร จังหวัดลำปาง
แม้หญิงสาวเหล่านี้จะไม่ใช่ตัวละครหลักในจิตรกรรม (ซึ่งมักเน้นภาพพระภิกษุหรือเจ้านายชั้นสูง) แต่รายละเอียดเล็ก ๆ เช่น เสื้อผ้า ผม และเครื่องประดับ กลับเผยให้เห็นวิถีชีวิตและรสนิยมของหญิงล้านนาในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นสมัยใหม่ได้อย่างดีเยี่ยม
ผู้เขียนจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้คือ ช่างปวน สุวรรณสิงห์ (พ.ศ. 2440–2508) หรือ ป. สุวรรณสิงห์ ชาวลำปางเชื้อสายพม่า ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ของ พระยาอนุศาสน์จิตรกร จิตรกรชั้นสูงจากกรุงเทพฯ ที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าหลวงบุญวาทย์วงษ์มานิต ให้มาช่วยวางองค์ประกอบศิลป์ของวัดบุญวาทย์ ผลงานของช่างปวนพบได้ในวัดหลายแห่งทั่วลำปาง โดยมีลายเส้นที่ผสานระหว่างศิลปะแบบหลวงกับวิถีชาวบ้านอย่างกลมกลืน
ภาพแฟชั่นจาก AI คอลเลกชันนี้จึงมิใช่การจำลองอดีตอย่างตรงไปตรงมา หากแต่เป็นการ “ฟื้นภาพความทรงจำ” ผ่านสายตาของเทคโนโลยี เพื่อจินตนาการถึงหญิงสาวลำปางในช่วงเทศกาลสงกรานต์สมัยปลายรัชกาลที่ 6 ที่แต่งกายผสมผสานระหว่างความสมัยใหม่แบบ Art Deco กับรากเหง้าแห่งล้านนาอย่างสวยงาม
ปี๋ใหม่เมืองในเชียงใหม่ เข้าวัดทำบุญ ทศวรรษ ๒๕๐๐
ปี๋ใหม่เมืองในเชียงใหม่ เข้าวัดทำบุญ ทศวรรษ ๒๕๐๐ (1950s)
คอลเลกชันภาพนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก เทศกาลปี๋ใหม่เมือง หรือ สงกรานต์ล้านนา ในช่วง ทศวรรษ 1950s ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หญิงสาวชาวเชียงใหม่ยังคงรักษาการแต่งกายแบบดั้งเดิม ด้วย เสื้อแขนกระบอก ผ้าซิ่นพื้นเมือง เช่นซิ่นต๋าซิ่นตีนจก หรือซิ่นผ้ายกดอกลำพูน และประดับผมด้วยดอกเอื้องหรือปิ่นดอกไม้ไหว เพื่อร่วมพิธีทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ และรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และการละเล่นสาดน้ำ แต่กิจกรรมหลักของชาวเหนือยังคงยึดตามขนบธรรมเนียมอันที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน แม้จะมีการเล่นน้ำคลายร้อน แต่หัวใจของปี๋ใหม่เมืองอยู่ที่ การชำระล้างจิตใจ (ไล่สังขาร), การทำบุญอุทิศส่วนกุศล (ตานขันข้าว), และการขอขมาผู้ใหญ่ (พิธีดำหัว) ซึ่งสะท้อนวัฒนธรรมแห่งความกตัญญูและความกลมเกลียวในครอบครัว
🌕 วันสังขานต์ล่อง – 13 เมษายน
เป็นวันที่เริ่มต้นเทศกาลปีใหม่ล้านนา ชาวบ้านจะ “ไล่สังขาร” โดยจุดประทัดหรือยิงปืนตามเวลาที่กำหนดใน ปักกะตืนปี๋ใหม่เมือง เพื่อส่งเคราะห์เก่าออกไป บ้านเรือนจะถูกทำความสะอาดทั้งทางกายภาพและทางจิตวิญญาณ บางบ้านจัด “ต้นสังขานต์” (คานหามประดับดอกไม้ ธูปเทียน) เพื่อลอยน้ำสะเดาะเคราะห์ ในพิธีส่วนตัว สมาชิกในครอบครัวจะนำเสื้อผ้าตัวแทนใส่สลุงหรือสะตวงไปวัด เพื่อสะบัดเคราะห์ริมแม่น้ำ บางพื้นที่เผาเชือกสายสิญจน์ชุบน้ำมัน และบางคนสระเกล้าโดยหันทิศมงคลในปีนั้น พิธีทั้งหมดเน้นความสงบ ความศรัทธา และการเตรียมใจสู่ปีใหม่
🌤️ วันเน่า – 14 เมษายน
แม้ชื่อจะฟังดูไม่น่ารื่นรมย์ แต่ “วันเน่า” มาจากคำบาลีว่า ปูติ แปลว่าเน่าเสีย หมายถึงการชำระล้างสิ่งหมักหมมในใจจากตลอดปี เป็นวันที่เน้น ความสงบ ความสำรวม และการเตรียมของทำบุญ
ชาวบ้านจะขนทรายเข้าวัด ก่อเจดีย์ทรายเพื่อตอบแทนผืนแผ่นดิน งดพูดคำหยาบหรือทำร้ายกัน เพราะเชื่อว่าพฤติกรรมวันนี้จะส่งผลทั้งปี ครอบครัวเตรียมน้ำขมิ้นส้มป่อย ของดำหัว และบางบ้านเริ่มจัด “ต้าวตังสี่” เพื่อบูชาท้าวจตุโลกบาล
🌞 วันพญาวัน – 15 เมษายน
วันพญาวันคือหัวใจของปี๋ใหม่เมือง เป็นวันที่เริ่มต้นศักราชใหม่อย่างแท้จริง ตอนเช้าชาวบ้านจะ ตานขันข้าว อุทิศบุญให้บรรพบุรุษ พร้อมปักตุงบนเจดีย์ทรายที่สร้างไว้ก่อนหน้า
ช่วงบ่ายจะมี พิธีดำหัว ลูกหลานน้อมนำขันน้ำขมิ้นส้มป่อยไปกราบขอขมาผู้ใหญ่ เมื่อได้รับคำอวยพรกลับ จึงถือว่าได้รับพรปีใหม่อย่างสมบูรณ์ แม่ญิงมักแต่งกายด้วยผ้าทอมือสวยงาม ทัดดอกไม้นามปี ในหลายหมู่บ้านยังจัดพิธี “ไม้ค้ำสะหรี” คือเสาไม้ประดับของมงคลค้ำต้นโพธิ์ในวัด แทนความตั้งใจอุปถัมภ์พระธรรมและค้ำจุนชีวิตให้เจริญรุ่งเรือง
🌸 วันปากปี – 16 เมษายน
วันสุดท้ายของเทศกาล ถือเป็นการ “เปิดปี” อย่างแท้จริง ชาวบ้านจะทำบุญ เสาใจบ้าน และร่วมพิธี “สืบชะตา” หมู่บ้าน เสริมอายุให้ครอบครัวและชุมชน ช่วงบ่ายยังคงมีการดำหัวพระเถระ ผู้อาวุโส และครูบาอาจารย์ ครัวเรือนจะเตรียมทำ แกงขนุน (แก๋งบ่าหนุน) เชื่อว่าจะ “หนุนชีวิต” ให้รุ่งเรืองตลอดปี เย็นวันนั้นมีพิธี “ต๋ามเตียนปู่จาพระเจ้า” จุดเทียน 3 เล่ม คือ เทียนลดเคราะห์ เทียนสืบชะตา และเทียนโชคลาภ บางบ้านเผา “ขี้สายเท่าอายุ” เพื่อเผาเคราะห์เก่าออกไป พร้อมเพิ่มเส้นหนึ่งเพื่อสืบชะตาใหม่ให้รุ่งเรือง บางพื้นที่ยังตั้ง “ต้าวตังสี่” บูชาท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ทิศ พร้อม “ขวั๊ก” ใส่ของบูชาธรรมดาอย่างกล้วย ข้าวเทียน และน้ำตาล และอีกถาดถวาย พระแม่ธรณี เป็นการเชื่อมโยงระหว่างโลกวิญญาณกับผืนดิน เมื่อเทียนดวงสุดท้ายดับลง ควันธูปลอยขึ้นฟ้า บ้านเรือนเงียบสงบ — และในความสงบนั้นเอง ปีใหม่ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
ปี๋ใหม่เมือง ๒๕๖๘ ในเชียงใหม่ ในโทนสีพาสเทล
ปี๋ใหม่เมือง ๒๕๖๘ ในเชียงใหม่ ในโทนสีพาสเทล
คอลเลกชันภาพนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเทศกาลปี๋ใหม่เมือง หรือ สงกรานต์ล้านนา ถ่ายทอดผ่านมุมมองร่วมสมัยในโทนสีพาสเทลที่อ่อนหวาน ทว่าแฝงไว้ด้วยความเคารพต่อรากเหง้าทางวัฒนธรรม ในแฟชั่นแบบแม่ญิงล้านนาจากช่วงปลายรัชกาลที่ ๔ ถึงต้นรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นยุคที่หญิงสาวชาวเชียงใหม่ยังนิยมแต่งกายด้วย ผ้าแถบและผ้าสไบ คู่กับ ผ้าซิ่นพื้นเมือง เช่น ซิ่นต๋า, ซิ่นตีนจก
ผ้าแถบ เป็นผ้ายาวแคบ ใช้พันรัดอกอย่างสุภาพ เรียบง่ายตามแบบแผนของสตรีล้านนาโบราณ ส่วน ผ้าสไบสามารถสวมทับผ้าแถบ ด้วยการพาดเฉียงจากบ่าข้างหนึ่ง เพิ่มความความเรียบร้อย โดยเฉพาะในงานบุญหรืองานพิธีสำคัญ อีกทั้งยังนิยมประดับผมด้วยดอกไม้สด เช่น ดอกเอื้อง, ดอกจำปา หรือ ดอกบัวตอง ซึ่งช่วยเติมเต็มความละมุนละไมให้กับเครื่องแต่งกาย
กิจกรรมสำคัญในช่วงปี๋ใหม่เมือง ได้แก่ การทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ และรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ อันเป็นพิธีกรรมที่สะท้อนความผูกพันระหว่างศาสนา ครอบครัว และชุมชน คอลเลกชันนี้ตั้งใจบอกเล่าเรื่องราวของเทศกาลผ่านฉากการเล่นน้ำสงกรานต์ ซึ่งนอกจากจะช่วยคลายร้อนแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยบรรยากาศแห่งความรื่นเริงและความสามัคคี โดยทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านโทนสีพาสเทลและรายละเอียดแฟชั่นอัตลักษณ์ล้านนา
พุ่มพวง ดวงจันทร์ ศิลปินลูกทุ่งหญิงผู้เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจเหนือกาลเวลา
พุ่มพวง ดวงจันทร์ ในจินตนาการ - ศิลปินลูกทุ่งหญิงผู้สร้างแรงบันดาลใจตลอดกาล
คอลเลกชัน AI นี้คือการรำลึกและอุทิศแด่ ‘แม่ผึ้ง – พุ่มพวง ดวงจันทร์’ ศิลปินลูกทุ่งผู้เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจเหนือกาลเวลา
คอลเลกชันภาพนี้ ขอมอบแด่ “พุ่มพวง ดวงจันทร์” หรือที่คนไทยทั้งประเทศต่างเรียกขานด้วยความรักว่า “แม่ผึ้ง” ศิลปินลูกทุ่งหญิงผู้เปล่งประกายและเปลี่ยนโฉมวงการเพลงลูกทุ่งไทยไปตลอดกาล ไม่เพียงแค่บทเพลงที่ไพเราะจับใจ หากแต่เธอคือครูผู้ยิ่งใหญ่ ผู้วางรากฐานศิลปะการร้อง การแสดง และการเป็นศิลปินอย่างแท้จริงให้กับศิลปินรุ่นหลังนับไม่ถ้วน
คอลเลกชัน AI นี้ คือการคารวะแด่ยุคทองของแม่ผึ้งในช่วงทศวรรษ 2520–2530 ซึ่งถือเป็นช่วงที่แม่ผึ้งได้รับความนิยมทั่วประเทศ ทั้งบทเพลง การแสดง และแฟชั่นของยุค 80s ผมได้นำแรงบันดาลใจจากชุดที่ใช้ในการแสดงของแม่ผึ้ง วงดนตรี และเหล่าหางเครื่องในยุคนั้น มาตีความใหม่ด้วยกลิ่นอายแห่งยุค 80s ผสานกับการขัดเกลารายละเอียดให้ประณีตขึ้น ทั้งการออกแบบทรงผม เครื่องประดับ การใช้ผ้าเมทัลลิก เลื่อม และซิลูเอตต์แบบ 80s ที่ยังคงกลิ่นอายความสนุกแบบโชว์ลูกทุ่ง
ผมยังจำได้ดีเมื่อตอนเป็นเด็กในยุค 1980s บ้านป้าและบ้านข้าง ๆ มักจะเปิดเพลงแม่ผึ้งจากเทปคาสเซ็ตดังไปทั้งซอย เด็ก ๆ อย่างพวกเราก็จะเต้นเลียนแบบนักร้องนักเต้นในวงของแม่ผึ้งกันอย่างสนุกสนาน โดยหยิบเสื้อของป้าในยุคนั้นมาใส่ เสื้อบ่าตั้งใหญ่ ๆ ซึ่งกลายเป็นเครื่องแต่งกายเฉพาะกิจที่เราคิดว่ามัน "ลูกทุ่งที่สุด" แล้ว และทุกปีในวันเด็ก โรงเรียนก็ต้องมีการแสดงเต้นประกอบเพลงของแม่ผึ้งเสมอ—ที่ผมจำได้แม่นที่สุดคือเพลง “ตั๊กแตนผูกโบว์” เพราะได้ขึ้นเวทีเต้นตอนอยู่ ป.3 หรือ ป.4 นี่แหละ เป็นภาพความทรงจำที่ยังอบอุ่นอยู่ในหัวใจจนถึงทุกวันนี้
เพลงของแม่ผึ้ง ไม่เพียงแต่สร้างความบันเทิง หากแต่เป็น “ตำราเรียน” ทางดนตรีลูกทุ่งที่ศิลปินทุกคนล้วนเคยเปิดอ่าน ไม่ว่าจะเป็นบทเพลงเร็วอย่าง ผู้ชายในฝัน, หนูไม่รู้, กระแซะเข้ามาซิ ที่กลายเป็นเพลงอมตะของทุกเวทีงานวัด ไปจนถึงเพลงช้าที่บีบหัวใจและเผยความสามารถด้านเสียงร้องระดับตำนานอย่าง นักร้องบ้านนอก, สาวนาสั่งแฟน และ ดาวเรืองดาวโรย ทุกเพลงล้วนสะท้อนให้เห็นถึงหัวใจของผู้หญิงคนหนึ่งที่เปล่งเสียงจากชีวิตจริง
แม้พุ่มพวงจะไม่ได้อ่านออกเขียนได้ แต่กลับเป็นศิลปินเพียงไม่กี่คนที่สามารถบันทึกเสียงเพลงโดยไม่ต้องใช้เนื้อร้อง ความสามารถในการจำจังหวะ ทำนอง และถ่ายทอดออกมาได้อย่างไร้ที่ติ กลายเป็นปาฏิหาริย์ทางดนตรีที่ครูเพลงหลายคนกล่าวขาน และเป็นสิ่งยืนยันว่า “พรสวรรค์” มีอยู่จริง
แม่ผึ้งยังเป็นศิลปินลูกทุ่งคนแรกที่ทะลุกำแพงเพลงบ้าน ๆ สู่เวทีระดับประเทศและระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงบนเวทีโลกดนตรี หรือการร้องเพลงถวายหน้าพระที่นั่ง ณ โรงแรมดุสิตธานี ปี พ.ศ. 2529 ทั้งหมดนี้ คือช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์เพลงลูกทุ่งไทยที่ไม่มีวันเลือนหาย
คอลเลกชัน AI นี้จึงไม่ใช่เพียงการรำลึกถึงศิลปินระดับตำนานเท่านั้น หากแต่เป็นการนำเสนอมรดกทางวัฒนธรรมผ่านแฟชั่นและการแสดงในยุคที่แม่ผึ้งประสบความสำเร็จที่สุด — ยุคทองแห่งทศวรรษ 2520 ที่มีเพลงของแม่ผึ้งอยู่ในความทรงจำของคนไทย
ผมหวังว่าภาพชุดนี้จะเป็นอีกหนึ่งบทบันทึกที่ช่วยให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นแม่ผึ้งอีกครั้ง ผ่านการตีความใหม่กับแฟชั่นในยุค 1980
ขอกราบสดุดี “พุ่มพวง ดวงจันทร์” ศิลปินของแผ่นดิน ผู้เป็นดวงจันทร์แห่งวงการลูกทุ่งไทยตลอดกาล
นางสงกรานต์ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๘
✨ นางสงกรานต์ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๘
“ทุงสะเทวี” เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และความสงบเย็น
นี่คือผลงานสร้างสรรค์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ถ่ายทอดจินตภาพของ นางสงกรานต์ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๘ ผู้ทรงพระนามว่า “ทุงสะเทวี” เทพีผู้เสด็จมาพร้อมพลังแห่งความอุดมสมบูรณ์ ความร่มเย็น และความสงบแห่งฤดูร้อน ตามคติความเชื่อไทยโบราณ
ทุงสะเทวี ทรงฉลองพระองค์ พาหุรัด ผ้าไหมสีแดงเข้มประดับลายทอง สื่อถึงพลังแห่งธาตุไฟและความรุ่งเรือง อันสอดคล้องกับเดือนเมษายน อาภรณ์ของพระองค์คือ แก้วปัทมราค เจิดจรัสดังอัญมณีทับทิม ทัด ดอกทับทิม สีแดงสดเหนือพระกรรณ สะท้อนถึงความงามสง่าและพลังแห่งการกำเนิดใหม่
พระหัตถ์ขวาทรง จักร อันเปล่งประกายทอง เป็นสัญลักษณ์แห่งธรรมะและความยุติธรรม พระหัตถ์ซ้ายทรง สังข์ อันศักดิ์สิทธิ์ หมายถึงเสียงแห่งชัยชนะและความเป็นสิริมงคล ภักษาหารของพระองค์คือ ผลอุทุมพร หรือ ผลมะเดื่อ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์และความมั่งคั่ง
พระองค์เสด็จในท่า ไสยาสน์หลับเนตร อย่างสงบนิ่ง สง่างาม มีบารมี ประทับเหนือหลัง ครุฑสีแดงทอง พาหนะอันทรงพลัง บินผ่านท้องฟ้ายามรุ่งอรุณที่อบอวลด้วยกลีบดอกไม้แห่งฤดูร้อน ประหนึ่งการมาถึงแห่งเทศกาลสงกรานต์ที่เต็มไปด้วยสิริมงคลและความสุขสมบูรณ์
ตามความเชื่อโบราณ การที่นางสงกรานต์ในปีนี้ทรงนามว่า “ทุงสะเทวี” ทัดดอกทับทิม และเสวยผลอุทุมพรนั้น มีนัยสำคัญที่บ่งบอกถึง ความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหาร และ ผลผลิตทางการเกษตรที่จะมีมากในปีนี้ เป็นปีแห่งความมั่งมีศรีสุข ประชาชนจะ อยู่ดีกินดี มีความสุขอุดมสมบูรณ์ทั่วทั้งแผ่นดิน
ประเพณีปี๋ใหม่เมือง
ประเพณีปี๋ใหม่เมือง
คอลเลกชันภาพนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก เทศกาลปี๋ใหม่เมือง หรือ สงกรานต์ล้านนา ในช่วง ทศวรรษ 1960s ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หญิงสาวชาวเชียงใหม่ยังคงรักษาการแต่งกายแบบดั้งเดิม ด้วย เสื้อแขนกระบอก ผ้าซิ่นพื้นเมือง เช่นซิ่นต๋าซิ่นตีนจก หรือซิ่นผ้ายกดอกลำพูน และประดับผมด้วยดอกเอื้องหรือปิ่นดอกไม้ไหว เพื่อร่วมพิธีทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ และรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และการละเล่นสาดน้ำ แต่กิจกรรมหลักของชาวเหนือยังคงยึดตามขนบธรรมเนียมอันที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน แม้จะมีการเล่นน้ำคลายร้อน แต่หัวใจของปี๋ใหม่เมืองอยู่ที่ การชำระล้างจิตใจ (ไล่สังขาร), การทำบุญอุทิศส่วนกุศล (ตานขันข้าว), และการขอขมาผู้ใหญ่ (พิธีดำหัว) ซึ่งสะท้อนวัฒนธรรมแห่งความกตัญญูและความกลมเกลียวในครอบครัว
🌕 วันสังขานต์ล่อง – 13 เมษายน
เป็นวันที่เริ่มต้นเทศกาลปีใหม่ล้านนา ชาวบ้านจะ “ไล่สังขาร” โดยจุดประทัดหรือยิงปืนตามเวลาที่กำหนดใน ปักกะตืนปี๋ใหม่เมือง เพื่อส่งเคราะห์เก่าออกไป บ้านเรือนจะถูกทำความสะอาดทั้งทางกายภาพและทางจิตวิญญาณ บางบ้านจัด “ต้นสังขานต์” (คานหามประดับดอกไม้ ธูปเทียน) เพื่อลอยน้ำสะเดาะเคราะห์ ในพิธีส่วนตัว สมาชิกในครอบครัวจะนำเสื้อผ้าตัวแทนใส่สลุงหรือสะตวงไปวัด เพื่อสะบัดเคราะห์ริมแม่น้ำ บางพื้นที่เผาเชือกสายสิญจน์ชุบน้ำมัน และบางคนสระเกล้าโดยหันทิศมงคลในปีนั้น พิธีทั้งหมดเน้นความสงบ ความศรัทธา และการเตรียมใจสู่ปีใหม่
🌤️ วันเน่า – 14 เมษายน
แม้ชื่อจะฟังดูไม่น่ารื่นรมย์ แต่ “วันเน่า” มาจากคำบาลีว่า ปูติ แปลว่าเน่าเสีย หมายถึงการชำระล้างสิ่งหมักหมมในใจจากตลอดปี เป็นวันที่เน้น ความสงบ ความสำรวม และการเตรียมของทำบุญ
ชาวบ้านจะขนทรายเข้าวัด ก่อเจดีย์ทรายเพื่อตอบแทนผืนแผ่นดิน งดพูดคำหยาบหรือทำร้ายกัน เพราะเชื่อว่าพฤติกรรมวันนี้จะส่งผลทั้งปี ครอบครัวเตรียมน้ำขมิ้นส้มป่อย ของดำหัว และบางบ้านเริ่มจัด “ต้าวตังสี่” เพื่อบูชาท้าวจตุโลกบาล
🌞 วันพญาวัน – 15 เมษายน
วันพญาวันคือหัวใจของปี๋ใหม่เมือง เป็นวันที่เริ่มต้นศักราชใหม่อย่างแท้จริง ตอนเช้าชาวบ้านจะ ตานขันข้าว อุทิศบุญให้บรรพบุรุษ พร้อมปักตุงบนเจดีย์ทรายที่สร้างไว้ก่อนหน้า
ช่วงบ่ายจะมี พิธีดำหัว ลูกหลานน้อมนำขันน้ำขมิ้นส้มป่อยไปกราบขอขมาผู้ใหญ่ เมื่อได้รับคำอวยพรกลับ จึงถือว่าได้รับพรปีใหม่อย่างสมบูรณ์ แม่ญิงมักแต่งกายด้วยผ้าทอมือสวยงาม ทัดดอกไม้นามปี ในหลายหมู่บ้านยังจัดพิธี “ไม้ค้ำสะหรี” คือเสาไม้ประดับของมงคลค้ำต้นโพธิ์ในวัด แทนความตั้งใจอุปถัมภ์พระธรรมและค้ำจุนชีวิตให้เจริญรุ่งเรือง
🌸 วันปากปี – 16 เมษายน
วันสุดท้ายของเทศกาล ถือเป็นการ “เปิดปี” อย่างแท้จริง ชาวบ้านจะทำบุญ เสาใจบ้าน และร่วมพิธี “สืบชะตา” หมู่บ้าน เสริมอายุให้ครอบครัวและชุมชน ช่วงบ่ายยังคงมีการดำหัวพระเถระ ผู้อาวุโส และครูบาอาจารย์ ครัวเรือนจะเตรียมทำ แกงขนุน (แก๋งบ่าหนุน) เชื่อว่าจะ “หนุนชีวิต” ให้รุ่งเรืองตลอดปี เย็นวันนั้นมีพิธี “ต๋ามเตียนปู่จาพระเจ้า” จุดเทียน 3 เล่ม คือ เทียนลดเคราะห์ เทียนสืบชะตา และเทียนโชคลาภ บางบ้านเผา “ขี้สายเท่าอายุ” เพื่อเผาเคราะห์เก่าออกไป พร้อมเพิ่มเส้นหนึ่งเพื่อสืบชะตาใหม่ให้รุ่งเรือง บางพื้นที่ยังตั้ง “ต้าวตังสี่” บูชาท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ทิศ พร้อม “ขวั๊ก” ใส่ของบูชาธรรมดาอย่างกล้วย ข้าวเทียน และน้ำตาล และอีกถาดถวาย พระแม่ธรณี เป็นการเชื่อมโยงระหว่างโลกวิญญาณกับผืนดิน เมื่อเทียนดวงสุดท้ายดับลง ควันธูปลอยขึ้นฟ้า บ้านเรือนเงียบสงบ — และในความสงบนั้นเอง ปีใหม่ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
จินตนาการพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเมื่อทรงพระเยาว์
จินตนาการพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเมื่อทรงพระเยาว์
การรังสรรค์พระฉายาลักษณ์ด้วย AI และแฟชั่นวัยรุ่นสตรีในช่วงรัชกาลที่ 6 ตอนต้น
การศึกษาแฟชั่นช่วง Teens Fashion (ค.ศ. 1911–1919) และอิทธิพลตะวันตกในราชสำนักสยาม
คอลเลกชันภาพ AI ชุดนี้เป็นการจินตนาการถึงพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเมื่อทรงพระเยาว์ โดยอิงจากแนวโน้มแฟชั่นสตรีชั้นสูงในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งตรงกับช่วงรัชกาลที่ 6 (พ.ศ. 2453–2468) และยุคที่เรียกว่า Teens Fashion ในโลกตะวันตก (ค.ศ. 1911–1919)
พระฉายาลักษณ์สมมุติ: พระชนมพรรษา 8–12 พรรษา
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ประสูติเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) หากประมาณพระชนมพรรษาจากภาพที่ปรับแต่งด้วย AI พระองค์ในภาพดูมีพระชนมพรรษาระหว่าง 8–12 พรรษา ซึ่งหมายถึงช่วงเวลา พ.ศ. 2455–2459 (ค.ศ. 1912–1916) เป็นช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งราชสำนักสยามเริ่มเปิดรับแฟชั่นตะวันตกมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ด้วยการนุ่งโจงกระเบน
ภาพลักษณ์ของ Teens Fashion ในราชสำนักสยาม
แฟชั่นวัยรุ่นสตรีในช่วง Teens Fashion (ค.ศ. 1911–1919) มีลักษณะเฉพาะที่สะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากความหรูหราแบบเอ็ดเวิร์ดเดียนไปสู่ความคล่องตัวและอิสระของยุค 1920 ซึ่งในบริบทของสยาม แฟชั่นตะวันตกจึงถูก “ประยุกต์” แทนที่จะ “ลอกแบบ” โดยตรง โดยปรากฏเป็นลุคที่โดดเด่นดังนี้:
เสื้อเบลาส์หลวมทรง shirtwaist ตัดเย็บจากผ้าฝ้าย ผ้าไหม หรือผ้าลูกไม้
ปกเสื้อขนาดใหญ่ เช่น ปกกะลาสี ปกกลม ปกแหลม มักประดับด้วยลูกไม้ กระดุมมุก หรือผ้าตัดสี
รายละเอียดการจับจีบ ปักลาย และตกแต่งด้วยโบว์ริบบิ้น บ่งบอกถึงรสนิยมแบบสุภาพสตรีชั้นสูง
การนุ่งโจงกระเบนไหมหรือผ้าพื้นสีเข้ม ที่ผูกทับด้วยเข็มขัดผ้า หรือสายคาดทอง เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
ภาพ AI ในคอลเลกชันนี้ได้จำลองเสื้อผ้าตามสไตล์ของ Teens Fashion อย่างหลากหลาย ทั้งในแง่ของการใช้ผ้า สี ตำแหน่งของกระดุม การปักลวดลาย และเครื่องประดับ เช่น จี้ทอง กำไล หรือโบว์ผูกผม ซึ่งนิยมกันในสตรีสยามที่ได้รับการศึกษาตะวันตก
ระหว่างประวัติศาสตร์กับจินตนาการ: บทบาทของ AI ในการศึกษาวัฒนธรรมแฟชั่น
ภาพเหล่านี้ไม่ได้มุ่งหมายเพื่อเลียนแบบพระฉายาลักษณ์ที่มีอยู่จริงของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี แต่เป็นการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อจำลอง “จินตภาพทางประวัติศาสตร์” ให้เกิดความเข้าใจในโครงสร้างแฟชั่นและอัตลักษณ์ของหญิงสยามในช่วงเวลานั้น โดยเฉพาะในประเด็นเหล่านี้:
การรับอิทธิพลจากแฟชั่นตะวันตกอย่างสร้างสรรค์
การรักษาเอกลักษณ์ผ่านรูปแบบโจงกระเบนและการเลือกใช้เครื่องประดับไทย
การสะท้อนฐานะและบทบาทของสตรีในราชสำนัก ผ่านเครื่องแต่งกายที่ประณีตและสื่อถึงสถานะ
แฟชั่นวัยรุ่นสตรีในช่วง Teens Fashion เป็นแฟชั่นในบทบาทของการเป็นตัวเชื่อมระหว่างโลกเก่ากับโลกใหม่ และในบริบทของราชสำนักสยาม ก็สะท้อนให้เห็นถึงการกลั่นกรองและปรับและนำวัฒนธรรมตะวันตกมาใช้อย่างมีวิจารณญาณ ภาพที่สร้างด้วย AI เหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงภาพจำลองทางแฟชั่น หากแต่เป็น “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ผ่านภาพ” ที่ช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างแฟชั่น อัตลักษณ์ และการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยได้อย่างชัดเจน
สุนทราภรณ์ในห้วงคำนึง: รำลึกถึงยุคทองของดนตรีไทยสากล (ค.ศ. 1947–1962 / พ.ศ. 2490–2505)
🎶 สุนทราภรณ์ในห้วงคำนึง: รำลึกถึงยุคทองของดนตรีไทยสากล (ค.ศ. 1947–1962 / พ.ศ. 2490–2505)
คอลเลกชันนี้สร้างขึ้นด้วยเทคนิค LoRA (Low-Rank Adaptation) โดยใช้แบบจำลอง AI ที่ฝึกจากภาพถ่ายและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของ วงดนตรีสุนทราภรณ์ (วงดนตรีกรมโฆษณาการ) ในช่วงที่วงมีชื่อเสียงสูงสุดใน ช่วงทศวรรษ 1950 (พ.ศ. 2490–2503) ภาพที่ปรากฏในคอลเลกชันนี้สะท้อนความหรูหรา ความสง่างาม และจังหวะชีวิตอันละเมียดละไมของนักร้องและนักดนตรีในยุคนั้น โดยใช้ แฟชั่นซิลูเอตต์ยุค 1950s เป็นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นชุดกระโปรงบานเอวคอด ทรงผมแบบ pincurl เครื่องประดับไข่มุก หรือสูทและทักซิโดที่เรียบหรูแบบสุภาพบุรุษตะวันตก
วงดนตรีสุนทราภรณ์ ไม่ใช่เพียงวงดนตรี แต่คือเสียงสะท้อนของการเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมของชาติไทยในครึ่งศตวรรษที่ 20 จากสังคมราชสำนักและชนบท สู่ความเป็นสมัยใหม่ในเมืองหลวง บทเพลงของวงไม่เพียงนำความบันเทิงมาสู่สังคม แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ของความศิวิไลซ์ ความเรียบร้อย และรสนิยมแบบตะวันตก ซึ่งสอดคล้องกับหัวใจของนโยบาย “รัฐนิยม” ซึ่งต้องการปรับโฉมชาติให้มีความทันสมัยทัดเทียมตะวันตก โดยเฉพาะภายใต้การนำของ จอมพล แปลก พิบูลสงคราม (ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่าง ค.ศ. 1938–1944 และ 1948–1957)
คอลเลกชัน AI ชุดนี้ จึงเป็นมากกว่าการรำลึกถึงเสียงเพลงแห่งอดีต หากยังเป็นการถ่ายทอด “โลกแห่งภาพ” ของ สุนทราภรณ์ — ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม จังหวะ และความหวังของประเทศที่กำลังก่อร่างสร้างตนใหม่ผ่านวัฒนธรรมที่รังสรรค์ขึ้นมาใหม่
🏛️ โครงสร้างวัฒนธรรมแห่งการสร้างชาติ (พ.ศ. 2481–2487 / ค.ศ. 1938–1944)
ภายหลังจากการประกาศ รัฐนิยม 12 ฉบับ ในปี พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) รัฐบาลได้วางนโยบายปรับปรุงวัฒนธรรมของชาติในทุกด้าน ทั้งด้านภาษา การแต่งกาย มารยาท การบันเทิง และดนตรี เพื่อสร้างชาติให้ “ศิวิไลซ์” ทัดเทียมอารยประเทศ วงดนตรีสากลวงแรกที่เกิดขึ้นภายใต้นโยบายนี้ก็คือ วงดนตรีกรมโฆษณาการ ซึ่งภายหลังรู้จักกันในชื่อว่า วงดนตรีสุนทราภรณ์
นอกจากจะเป็นสื่อแห่งความบันเทิงแล้ว ดนตรียังกลายเป็นเครื่องมือในการสร้างภาพลักษณ์ของชาติอย่างได้ผล ในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939–1945) เมื่อภาพยนตร์ตะวันตกขาดแคลนจากการคว่ำบาตรและปิดเส้นทางเดินเรือ โรงภาพยนตร์หลายแห่งจึงเชิญวงดนตรีขึ้นแสดงสดแทน และ วงสุนทราภรณ์ คือวงที่ได้รับความนิยมสูงสุด
วงดนตรีนี้นำโดย ครูเอื้อ สุนทรสนาน นักไวโอลินและนักประพันธ์เพลงผู้มีวิสัยทัศน์ ครูเอื้อคือผู้นำในการหลอมรวมดนตรีไทยเข้ากับทำนองแบบตะวันตก เช่น รำวง แทงโก้ ชะชะช่า รูมบ้า และ สวิง โดยเขาได้รับการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญ เช่น:
หลวงสุขุมนัยประดิษฐ (ประดิษฐ์ สุขุม) – ข้าราชการระดับสูงผู้ให้การสนับสนุนดนตรีตะวันตกในไทย
พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) – ผู้อำนวยการดนตรีสากลของกรมศิลปากร
• • วิลาศ โอสถานนท์ – อธิบดีกรมโฆษณาการ ผู้สนับสนุนแนวคิดชาตินิยมและวัฒนธรรมใหม่
จากทรงผม “A La Pompadour” ถึง ทรงผม “โซขุฮัตสึ” (束髪): การเดินทางของทรงผมแม่ญิงล้านนาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย
จากทรงผม “A La Pompadour” ถึง ทรงผม “โซขุฮัตสึ” (束髪): การเดินทางของทรงผมแม่ญิงล้านนาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย
เมื่อแฟชั่นข้ามวัฒนธรรมผ่านทรงผมของแม่ญิงล้านนา
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย (พ.ศ. 2440–2453 หรือ ค.ศ. 1897–1910) แฟชั่นของสตรีชั้นสูงในสยามเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในเรื่อง ทรงผม ซึ่งสะท้อนอิทธิพลจากราชสำนักยุโรปและญี่ปุ่นอย่างน่าสนใจ ทรงผมที่หญิงสาวนิยมในยุคนี้มีลักษณะเกล้ามวยสูงเหนือท้ายทอย หรือทรงผมแบบเกล้ามวยพองสูง (Upswept Hair) เป็นสัญลักษณ์ของความงามสมัยใหม่ ทรงผมนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องความงาม แต่เป็นกระจกสะท้อนการรับอารยธรรมจากต่างประเทศ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นของผู้หญิงล้านนาในเวลาต่อมา
ต้นธารจากฝรั่งเศสสู่ญี่ปุ่น: จากทรงผม “A La Pompadour” ถึง ทรงผม “โซขุฮัตสึ” (束髪)
จุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจเกิดจากราชสำนักฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 18 ในยุคศิลปะแบบ Rococo กับทรงผมที่ชื่อว่า "A La Pompadour" ซึ่งตั้งชื่อตาม มาดาม เดอ ปงปาดูร์ (Madame de Pompadour, ค.ศ. 1721–1764) พระสนมเอกของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ทรงผมนี้เน้นการตีผมให้สูง พอง และมีรูปทรงหรูหรา กลายเป็นสัญลักษณ์ของความมีรสนิยมของผู้หญิงในสังคมชั้นสูงในยุโรปในช่วงเวลานั้น
ต่อมา ในช่วง ยุคเมจิของญี่ปุ่น (ค.ศ. 1868–1912) ซึ่งเป็นยุคที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศและรับอิทธิพลตะวันตก ทรงผมแบบ “โซขุฮัตสึ (束髪)” ก็ถือกำเนิดขึ้น โดยได้รับแรงบันดาลใจจากทรงปงปาดูร์ของฝรั่งเศส แล้วปรับให้เหมาะกับผมหญิงญี่ปุ่น เป็นการเกล้ามวยสูงที่ทันสมัยและแสดงถึงการศึกษาและความก้าวหน้า
กระแสทรงผมปงปาดูร์ในโลกตะวันตก: จากฝรั่งเศสสู่ Gibson Girl
ในช่วงเวลาเดียวกัน — ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งตรงกับ ยุคเอ็ดเวิร์ดเดียน (Edwardian Era, ค.ศ. 1901–1910) ในอังกฤษและยุโรป — ทรงผมแบบ A La Pompadour ก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในหมู่หญิงสาวชนชั้นกลางและสูงในโลกตะวันตก ผ่านภาพลักษณ์ของ Gibson Girl ซึ่งเป็นตัวแทนของ “หญิงทันสมัย” ในอเมริกาและยุโรป ทรงผมของ Gibson Girl เน้นการเกล้าผมให้พองและสูง ด้วยปริมาตรที่งามสง่าและเป็นธรรมชาติ ซึ่งได้รับอิทธิพลโดยตรงจากทรง Pompadour ของศตวรรษก่อน
ภาพวาดของ Charles Dana Gibson ที่สร้างภาพหญิงสาวอเมริกันผู้มั่นใจ ทันสมัย และมีความคิดเป็นของตนเอง ยิ่งตอกย้ำให้ทรงผมแบบนี้กลายเป็นแฟชั่นหลักทั่วโลกตะวันตกในเวลานั้น และมีอิทธิพลมาไกลถึงทวีปเอเชียรวมถึงสยาม โดยเฉพาะในหมู่สตรีผู้ที่มีการศึกษาและอยู่ในสังคมเมืองหลวง
สำหรับทรงผมทรงนี้ในสยาม ผู้ที่นำทรงผมนี้มาเผยแพร่ในสยามคาดว่าคือ นางยะสุอิ เท็ตสึ (Tetsu Yasui, 安井てつ) ครูหญิงชาวญี่ปุ่นผู้บุกเบิกการศึกษาสตรีสมัยใหม่ในสยาม โดยในปี พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) เธอได้รับแต่งตั้งจากกระทรวงศึกษาธิการของญี่ปุ่นให้เดินทางมายังกรุงเทพฯ เพื่อดำรงตำแหน่ง อาจารย์ใหญ่คนแรกของโรงเรียนราชินี ซึ่งถือเป็นโรงเรียนสตรีชั้นนำของสยามในยุคนั้น
แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายด้านภาษา วัฒนธรรม และอากาศที่แตกต่างจากบ้านเกิด แต่ยะสุอิ เท็ตสึได้ทุ่มเทสอนวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนหญิงด้วยความเข้มงวดและความเมตตา พร้อมทั้งปลูกฝังวินัย ความรู้สมัยใหม่ และแบบแผนการวางตัวแบบสตรีมีการศึกษา รวมถึงภาพลักษณ์ภายนอกอันสง่างาม
หนึ่งในสิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับนักเรียนและข้าราชบริพารฝ่ายใน คือ ทรงผมแบบ “โซขุฮัตสึ” (束髪) ซึ่งเธอเกล้าไว้อย่างเรียบร้อยและหรูหราทุกวัน ทรงผมแบบนี้แสดงถึงความเป็นหญิงทันสมัย การศึกษา ความสะอาดเรียบร้อย และความนอบน้อมตามแบบฉบับญี่ปุ่น กลายเป็นแบบอย่างให้บรรดานักเรียนหญิง และแพร่หลายมาถึงราชสำนักฝ่ายใน
พระราชชายาเจ้าดารารัศมี: แม่หญิงล้านนาผู้นำแฟชั่น
พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ในรัชกาลที่ ๕ มีฐานะเป็นเจ้าหญิงล้านนา จากเชียงใหม่ ได้เข้ารับราชการในราชสำนักสยามพร้อมกับข้าราชบริพารหญิงจากเชียงใหม่และล้านนา ในช่วงที่ประทับอยู่ในกรุงเทพฯ พระองค์ทรงรับอิทธิพลทรงผมแบบมวยสูงที่เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่สตรีในวัง และพระองค์ทรงปรับนำมาใช้ทั้งส่วนพระองค์และในหมู่ข้าหลวงฝ่ายในที่อยู่ภายใต้การดูแลของพระองค์ และแฟชั่นทรงผมแบบเกล้ามวยพองสูงนี้ก็แพร่อิทธิพลไปถึงเชียงใหม่ ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมและแฟชั่นในหัวเมืองเหนือ
ขอขอบพระคุณเพจเฟซบุ๊ก “ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรสยาม”
ที่กรุณาแบ่งปันข้อมูลอันทรงคุณค่าเกี่ยวกับวัฒนธรรมราชสำนักสยาม แฟชั่น และทรงผมของสตรี ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่โลกสมัยใหม่
ปริศนา: ความงามสมัยใหม่ในสังคมไทยยุค 2490s (1950s)
Prisana: Modern Grace in 1950s Siamese Society
Inspired by the novel "Prisana" by V. na Pramuanmarg
Prisana is a beloved Thai novel written by V. na Pramuanmarg, the pen name of HSH Princess Vibhavadi Rangsit. First published in the 1950s, the story reflects upper-class Thai society in the transitional years between tradition and modernity, during the late reign of King Rama VIII and early reign of King Rama IX.
✨ Who is Prisana?
Prisana, the novel’s heroine, is intelligent, confident, and eloquent. Raised and educated in the United States, she returns to Bangkok with a modern outlook but maintains the grace and poise expected of a Thai gentlewoman. Her character challenges class-based prejudice, embraces independence, and quietly asserts her own values in a conservative world.
She stands apart—not by rebellion, but by quiet strength. Her beauty is not merely physical; it lies in her self-assurance, her wit, and her ability to hold her own in elite social circles dominated by protocol and gossip.
👗 Translating Character to Fashion
The fashion inspired by Prisana reflects a blend of East-meets-West refinement. Think 1950s silhouettes with Thai elegance:
Soft pastel tones and modest necklines communicate her grace and gentility.
Tea-length dresses, cinched waists, and flared skirts reflect both her femininity and the era’s iconic "New Look" silhouette popularised by Dior.
Her wardrobe speaks of polish without extravagance, aligning with her quiet self-possession.
Accessories such as pearl earrings, white gloves, delicate wristwatches, and structured handbags enhance her poised and polished image.
In this AI-generated collection, Prisana is reimagined in a series of curated looks that evoke the poised femininity of 1950s Bangkok society. Her fashion journey is one of soft assertion: a woman who doesn’t seek to dominate the room, but who transforms it by simply being present.
กระบวนการการสร้างสรรค์ภาพนาฏศิลป์ไทยด้วย AI
Visualising Thai Classical Dance with AI
In my recent creative work, I’ve been exploring how AI can be used to represent and preserve Thai classical dance — specifically Lakhon Ram and the stylised male role known as tua phra. One of the biggest limitations I’ve encountered in AI image generation is its consistent struggle with human hand gestures, especially those that are culturally codified and symbolic.
Unlike natural body movement, traditional Thai dance gestures such as jeeb (จีบ) and tang wong (ตั้งวง) require precise finger articulation, wrist positioning, and rhythmic tension that AI models — most of which are trained on Western-centric datasets — simply don’t understand.
To overcome this, I’ve been training my own LoRA models specifically on Thai classical dance imagery, focusing on these intricate and culturally meaningful poses. The process has been difficult, especially when trying to preserve both the gesture clarity and the ornate costume details unique to Thai performing arts.
A few thoughts and observations from this process:
🔸 Hand Gestures
LoRA and ControlNet models still struggle with fine motor precision — particularly when it comes to stylised symbolic gestures like those in Khon or Lakhon Nai.
In tua phra, many poses depend not just on static positioning, but on specific transitions and rhythmic stops, something AI doesn’t yet understand unless trained on motion or pose sequences — which may require video data or tracking tools, not just still images.
Possible solution: Combining pose annotation tools like OpenPose or MediaPipe with your training set can help reinforce hand and wrist structure. It won’t make the gestures perfect, but it gives the model a better sense of shape and flow.
🔸 Embroidery & Costume Details
AI tends to smooth out intricate embroidery, especially when metallic threads or low-contrast textures are involved. Thai classical costumes — full of gold brocade, appliqué, and ornate symmetry — often get lost or blended.
Possible solution: Multi-stage image generation might help — first generating the base pose or body form, then overlaying high-resolution textiles or costume-specific LoRA layers. Some researchers have even trained two LoRA models separately — one for anatomy/pose, one for costume texture.
Context: Other AI Projects in Thai Dance
There have been AI projects focused on Thai classical dance — especially in education or research settings. These are often motion-capture-based, using tools to record and simulate movements in 3D. Most are not image-generation projects, and very few are based on LoRA.
One well-known example is Cyber Subin, a project by MIT Media Lab and Thai choreographer Pichet Klunchun. This project focuses on choreography and performance using AI — where dancers interact with voice-controlled virtual agents that reimagine Thai movement principles in real-time.
Cyber Subin draws from Thai classical vocabulary (Mae Bot Yai) but uses it as a jumping-off point for contemporary, interpretive work, not strict preservation.
In contrast, my project is about holding on to the traditional form, and exploring how AI can generate visual referencesfor gestures, costumes, and staging that align more closely with classical standards.
Why It Matters
This experience has made it increasingly clear to me that we need AI models dedicated to Asia or Southeast Asia’s cultural heritage. Most mainstream AI platforms default to Western norms — not just in body language, but in fashion, architecture, posture, and visual rhythm. There’s a rich world of intangible heritage that deserves better representation.
What I’m doing isn’t perfect. But it’s a step toward building a visual vocabulary — one frame at a time — that honours our heritage in the digital age.
เมื่อเสื้อชั้นในกลายเป็นเสื้อนอก: การปรับใช้เสื้อทับคอร์เซ็ตแบบตะวันตกในสยาม ในสมัยรัชกาลที่ ๕
เมื่อเสื้อชั้นในกลายเป็นเสื้อนอก: การปรับใช้เสื้อทับคอร์เซ็ตแบบตะวันตกในสยาม ในสมัยรัชกาลที่ ๕
ในระหว่างที่ผมค้นคว้าเอกสารเพื่อเริ่มต้นการศึกษาระดับปริญญาเอกเมื่อหลายปีก่อน ณ กรุงลอนดอน ในหัวข้อวิจัยว่าด้วยประวัติศาสตร์แฟชั่นของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผมได้ค้นพบชุดโปสการ์ดสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่เก็บรักษาไว้ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรุงปารีส ภาพถ่ายเหล่านี้เป็นผลงานของช่างภาพชาวต่างชาติที่ประจำอยู่ในกรุงเทพฯ นามว่า J. Antonio ผู้มีบทบาทสำคัญในการบันทึกภาพชีวิตประจำวันของชาวสยามในช่วงเวลาดังกล่าว
ผลงานของ J. Antonio มีความโดดเด่นในการถ่ายทอดภาพของสามัญชนชาวกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นหญิงชาย วัยรุ่น คนงาน หรือพ่อค้าแม่ค้า ซึ่งแตกต่างจากภาพถ่ายในยุคนั้นที่มักเน้นเฉพาะชนชั้นสูงหรือพระบรมวงศานุวงศ์ ภาพเหล่านี้จึงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญในการศึกษาแฟชั่นและวัฒนธรรมการแต่งกายของสยามในช่วงปลายคริสศตวรรษที่ 19
หนึ่งในภาพที่ผมพบและเป็นภาพที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือภาพของหญิงสาวชาวกรุงเทพฯ นั่งอยู่ในท่วงท่าสบาย ๆ นุ่งโจงกระเบนและเสื้อแขนสั้นกระชับลำตัว ติดกระดุมด้านหน้า และไว้ผมสั้นทรง "ดอกกระทุ่ม" ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด ผมพบว่าเสื้อที่เธอสวมใส่คือ "เสื้อทับคอร์เซ็ต" (corset cover) ซึ่งเป็นเสื้อชั้นในของสตรีตะวันตกในยุควิกตอเรียน
กระบวนการการแต่งกายของสตรีตะวันตกในยุควิกตอเรียนมีการส่วมใส่เสื้อผ้าอย่างซับซ้อนเพื่อสะท้อนถึงความสุภาพเรียบร้อยและสถานะทางสังคม โดยเฉพาะชุกชั้นใน ซึ่งเริ่มจากเสื้อซับใน (chemise) ที่สวมติดผิวหนังเพื่อดูดซับเหงื่อและปกป้องร่างกาย ตามด้วยกางเกงชั้นใน (drawers) และสวมคอร์เซ็ตทับเสื้อเชอมิส ซึ่งช่วยจัดรูปทรงของร่างกาย หลังจากนั้นจึงสวมเสื้อทับคอร์เซ็ตอีกชั้นหนึ่งเพื่อปกปิดคอร์เซ็ตและเสริมความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายภายนอก
แม้เสื้อทับคอร์เซ็ตจะมีการตกแต่งด้วยลูกไม้หรือการปักลายอย่างสวยงาม แต่ในโลกตะวันตกในสมัยนั้น เสื้อทับคอร์เซ็ตถูกจัดว่าเป็นเสื้อชั้นในที่ไม่ควรเปิดเผยต่อสายตาผู้อื่น นักประวัติศาสตร์แฟชั่นอย่าง Carolyn Steedman ได้กล่าวถึงเสื้อชั้นในเหล่านี้ว่าเป็นทั้งเครื่องปกป้องร่างกายและเครื่องมือในการควบคุมวินัยและความประพฤติของสตรีในยุคนั้นอีกด้วย
การที่หญิงสาวชาวกรุงเทพฯ นำเสื้อทับคอร์เซ็ตมาใช้เป็นเสื้อนอกในชีวิตประจำวันนั้นสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการผสมผสานทางวัฒนธรรม (cultural hybridity) ซึ่ง Homi Bhabha อธิบายว่าเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในบริบทอาณานิคมหรือหลังอาณานิคม ที่ซึ่งการเลียนแบบวัฒนธรรมของผู้มีอำนาจมิได้นำไปสู่การยอมจำนน แต่กลับเปิดพื้นที่ให้เกิดการตีความใหม่และสร้างอัตลักษณ์เฉพาะของตนเอง
แม้สยามจะไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก แต่ก็ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมืองจากมหาอำนาจเหล่านั้น ซึ่งนักมานุษยวิทยา Michael Herzfeld ได้เรียกสถานการณ์นี้ว่า "อาณานิคมอำพราง" (crypto-colonialism) กล่าวคือ การที่รัฐหนึ่งแม้จะไม่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของเจ้าอาณานิคม แต่ก็ต้องดำเนินนโยบายหรือปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมของตนเองให้สอดคล้องกับมาตรฐานตะวันตก
แนวคิด "กลยุทธ์ทางสุนทรียะแบบวิกตอเรียน" (Victorian acumen) ที่เสนอโดย Carol Breckenridge จึงเป็นกรอบที่เหมาะสมในการทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้ กล่าวคือ การเลือกสรรและปรับใช้สุนทรียะแบบวิกตอเรียนอย่างมีกลยุทธ์ของชนชั้นนำและประชาชนในสังคมอาณานิคมอำพราง มิได้เป็นเพียงการเลียนแบบ แต่เป็นการใช้แฟชั่นเป็นเครื่องมือในการต่อรองสถานะ ความรู้สึกสมัยใหม่ และอำนาจต่อรองกับโลกภายนอก
การที่เสื้อทับคอร์เซ็ต ซึ่งเป็นเสื้อชั้นในของสตรีตะวันตก กลายมาเป็นเสื้อนอกที่หญิงสาวชาวกรุงเทพฯ สวมใส่ในชีวิตประจำวันจึงมิใช่เพียงเรื่องของความสะดวกสบาย หากเป็นการประกาศความเป็นสมัยใหม่ในแบบฉบับของตนเอง เป็นการปรับใช้วัตถุที่มีความหมายเฉพาะในโลกตะวันตกให้เข้ากับภูมิอากาศ วัฒนธรรม และสุนทรียะแบบสยาม
เสื้อทับคอร์เซ็ตในบริบทนี้ยังสามารถมองได้ว่าเป็นต้นแบบของ "เสื้อคอกระเช้า" ซึ่งต่อมากลายเป็นเครื่องแต่งกายประจำบ้านของหญิงไทย โดยเฉพาะในบริบทชนบท เสื้อคอกระเช้ามีลักษณะคล้ายกับเสื้อทับคอร์เซ็ต ทั้งในด้านรูปแบบ การติดกระดุมด้านหน้า และความเรียบง่ายของการใช้งานในชีวิตประจำวัน
กรณีศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าแฟชั่นมิได้เป็นเพียงเรื่องของความงาม แต่ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างอัตลักษณ์และการต่อรองทางวัฒนธรรม เสื้อผ้าที่เคยมีไว้เพื่อปกปิดกลับกลายมาเป็นเครื่องแสดงออกถึงความกล้าและความเป็นสมัยใหม่ในสยามที่กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่โลกสมัยใหม่อย่างชัดเจน
ตำนานคู่ขวัญบนจอภาพยนตร์ของมิตร ชัยบัญชา และเพชรา เชาวราษฎร์ในยุค 1960s
ตำนานคู่ขวัญบนจอภาพยนตร์ของมิตร ชัยบัญชา และเพชรา เชาวราษฎร์ในยุค 1960s
ในยุคทองของวงการภาพยนตร์ไทย ไม่มีคู่พระนางคู่ใดจะสามารถครองใจผู้ชมได้เทียบเท่ากับ มิตร ชัยบัญชา และ เพชรา เชาวราษฎร์ คู่ขวัญคู่นี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักอันงดงามบนแผ่นฟิล์ม และยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้คนดูรุ่นหลังได้จดจำอย่างไม่มีวันลืม
เพชรา เชาวราษฎร์ ก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์หลังจากคว้าตำแหน่งธิดาเมษาฮาวายในปี พ.ศ. 2504 และมีผลงานเรื่องแรก “บันทึกรักของพิมพ์ฉวี” ในปีถัดมา โดยแสดงคู่กับ มิตร ชัยบัญชา ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานรักในจอภาพยนตร์ที่ตราตรึงใจคนดูตลอดหลายทศวรรษ
ตลอดเกือบ 20 ปีของการเป็นนักแสดง เพชรา ได้แสดงภาพยนตร์มากกว่า 300 เรื่อง ตัวเลขนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความนิยมในตัวเธอ แต่ยังแสดงถึงความทุ่มเทอย่างแรงกล้าต่อศิลปะการแสดง แม้เธอจะไม่ได้เรียนการแสดงตามระบบทฤษฎีจากโรงเรียนการแสดงโดยตรง แต่ฝีมือของเธอกลับสามารถสะกดใจผู้ชมได้อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะเมื่อเธอถ่ายทอดความเป็นนางเอกในอุดมคติของไทย ผ่านกรอบความเป็นไทยอย่างละเมียดละไม ทั้งในท่าทาง คำพูด และบุคลิกภาพอันเป็นเอกลักษณ์
มิตร ชัยบัญชา ก็เป็นที่รักไม่แพ้กัน ด้วยภาพลักษณ์ของสุภาพบุรุษผู้กล้าหาญ อบอุ่น และเปี่ยมด้วยเสน่ห์ เขาและเพชราสร้างตำนานภาพยนตร์ร่วมกันหลายเรื่อง อาทิ “มนต์รักลูกทุ่ง” (2513) และ “อินทรีทอง” (2513) ซึ่งเรื่องหลังกลายเป็นที่จดจำตลอดกาลจากการที่มิตรเสียชีวิตระหว่างถ่ายทำฉากสุดท้าย
แม้เวลาจะล่วงเลยมาไกล แต่ชื่อของมิตรและเพชรายังคงฝังแน่นในวัฒนธรรมสื่อไทย ผลงานของพวกเขา ทั้งในด้านการแสดง เครื่องแต่งกาย และบรรยากาศของยุคสมัย ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักสร้างภาพยนตร์และนักออกแบบในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อมีเทคโนโลยี AI ช่วยรังสรรค์ภาพถ่ายขึ้นใหม่อย่างงดงาม
แม้ว่า เพชรา จะอำลาวงการไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 แต่ผลงานของเธอยังคงมีชีวิตอยู่บนจอภาพยนตร์ ภาพของเธอในบทบาทนางเอกผู้แสนอ่อนหวานและสง่างามยังคงโลดแล่นในหัวใจของผู้ชมทุกยุคสมัย
คอลเลกชัน AI นี้จัดทำขึ้นเพื่อระลึกถึงความสง่างามอันไร้กาลเวลา และเฉลิมฉลองมรดกทางวัฒนธรรมของมิตร ชัยบัญชา และเพชรา เชาวราษฎร์ ในฐานะคู่ขวัญแห่งยุคที่ไม่มีใครสามารถแทนที่ได้ เรื่องราวของพวกเขา แม้จะเกิดขึ้นในจอภาพยนตร์ แต่สำหรับใครหลายคน มันคือความรักที่มีอยู่จริง—และจะอยู่ตลอดไป
แฟชั่นคอลเลกชันจาก AI: เจ้าหญิงมุกดา ณ เชียงใหม่
แฟชั่นคอลเลกชันจาก AI: เจ้าหญิงมุกดา ณ เชียงใหม่
ข้าหลวงคนโปรดในสำนักสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา
บันทึกแฟชั่นแห่งสมัยเอ็ดวอร์เดียนในราชสำนักสยาม ราว พ.ศ. 2443–2453
คอลเลกชันภาพถ่ายแฟชั่นที่สร้างสรรค์โดย AI ชุดนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตของ เจ้าหญิงมุกดา ณ เชียงใหม่ ข้าหลวงสาวชาวล้านนาผู้รับราชการอยู่ในราชสำนักช่วงปลายรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2411–2453) โดยเฉพาะในสำนักของ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดาพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านการปรุงอาหารเป็นอย่างยิ่ง ได้รับการถวายพระเกียรติเป็น ผู้เชี่ยวชาญ ในการประกอบพระกระยาหาร ณ ห้องเครื่องต้น
เจ้ามุกดา ได้รับการนำเข้าวังโดย พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ซึ่งเป็นพระญาติสายตรงจากราชสำนักเชียงใหม่ ด้วยบุคลิกอ่อนหวาน พูดจาฉะฉาน หน้าตางดงาม และมีใจรักการขี่ม้า เจ้ามุกดาจึงเป็นที่รักใคร่ของเหล่าข้าหลวงและเจ้าจอมภายในวังอย่างรวดเร็ว พระวิมาดาเธอฯ ทรงโปรดปรานเจ้ามุกดาอย่างยิ่ง และมักประทานสิ่งของ เครื่องแต่งกาย และสิทธิพิเศษต่าง ๆ ให้เป็นพิเศษ
แฟชั่นตะวันตกสมัยเอ็ดเวิร์ดในราชสำนักสยาม (พ.ศ. 2443–2453)
ในช่วงปลายรัชกาลที่ 5 สยามกำลังเข้าสู่ยุคแห่งการปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและค่านิยม และแบบแผนแฟชั่นแบบตะวันตก โดยเฉพาะจากประเทศอังกฤษในยุค พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 (Edwardian Era) เริ่มมีบทบาทอย่างเด่นชัดในกลุ่มเจ้านายฝ่ายในและสตรีผู้สูงศักดิ์แห่งราชสำนัก
ลักษณะเด่นของแฟชั่นยุคเอ็ดเวิร์ด ได้แก่:
เสื้อคอปกสูงประดับลูกไม้
เข็มขัดคาดเอวหรือริบบิ้นสีอ่อน
ผ้าลูกไม้และงานปักมืออย่างประณีต
ทรงผมเกล้าสูงแบบ “upswept hairstyle” ที่ดูภูมิฐาน
ในสยาม สตรีในราชสำนักมิได้ละทิ้งวัฒนธรรมการแต่งกายแบบเดิม แต่กลับ ผสมผสานเสื้อแบบตะวันตกเข้ากับผ้าซิ่นหรือโจงกระเบน อย่างวิจิตรบรรจง กลายเป็นสไตล์เฉพาะตัว
เสื้อฝรั่ง (Western-style blouse) มักตัดเย็บจากผ้าไหมหรือผ้าฝ้ายปักลูกไม้ สวมเข้าคู่กับ ผ้าซิ่น (Pha-sin) แบบล้านนา
เครื่องประดับ เช่น สร้อยไข่มุก, ล็อกเก็ต, เข็มขัดเงิน กลายเป็นเครื่องหมายแห่งความสง่างามและฐานันดร
ทรงผมเกล้าสูงสไตล์เอ็ดเวิร์ดตกแต่งด้วย โบว์
ผ้าซิ่นลายแถบ: มรดกแฟชั่นล้านนาในยุค 2520–2530
ผ้าซิ่นลายแถบ: มรดกแฟชั่นล้านนาในยุค 2520–2530
แรงบันดาลใจเบื้องหลังชุดภาพถ่ายที่สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ มาจากความทรงจำวัยเยาว์ของผม ที่เติบโตในใจกลางเมืองเชียงใหม่ช่วงทศวรรษ 2520–2530 ขณะอาศัยอยู่ใกล้วัดพระสิงห์ ผมมีโอกาสร่วมงานบุญวัดอยู่เสมอ และได้เห็นผู้หญิงในชุมชนแต่งกายด้วย “ผ้าซิ่นลายแถบ” สีสดใสสะดุดตา
ซิ่นชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ ช่างฟ้อนหัววัด หรือนางรำที่ทำหน้าที่ฟ้อนในงานบุญ งานประเพณี หรือเทศกาลสำคัญของวัด โดยเฉพาะ ฟ้อนเล็บ ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงที่อ่อนช้อยและสง่างาม คุณยายของผมเองเคยเป็นช่างฟ้อนประจำอยู่ที่ วัดเมธัง ในเขตเมืองเชียงใหม่ ท่านมักสวมซิ่นลายแถบคู่กับเสื้อแขนยาวเข้ารูปและเกล้าผมแบบสตรีล้านนา เป็นภาพที่งดงามสง่าและฝังใจผมมาจนถึงทุกวันนี้
แรงบันดาลใจร่วมสมัยอีกท่านหนึ่งคือ คุณขันแก้ว ใจบุญเรือง ช่างฟ้อนรุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นสืบสานศิลปะฟ้อนหัววัดไว้ไม่ให้เลือนหาย ผมได้รู้จักคุณขันแก้วผ่านโพสต์บนเฟซบุ๊ก ซึ่งคุณขันแก้วเล่าถึงการตระเวนตามหา ผ้าซิ่นลายแถบ แบบดั้งเดิมตามแผงผ้าใน กาดหลวง (ตลาดวโรรส) โดยปัจจุบันแทบไม่เหลือวางขายแล้ว ผมได้ขออนุญาตคุณขันแก้ว ขอนำภาพของคุณขันแก้วและคุณแม่มาใช้เป็นข้อมูลในการฝึก AI สำหรับสร้างคอลเลกชันชุดนี้ ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงรุ่นอดีตกับปัจจุบันได้อย่างสวยงาม
เอกลักษณ์ของผ้าซิ่นลายแถบอยู่ที่ สีพื้นสดใส เช่น ฟ้า ชมพู แดงเข้ม เขียวขี้ม้า ตัดกับ แถบลายทอง และ แถบเส้นหลากสี ส่วนมากจะเป็นสีชมพูตรงแถบตรงกลาง ที่ทอเรียงเป็นแนวนอนบริเวณชายซิ่น เมื่อหญิงสาวเคลื่อนไหวอย่างอ่อนช้อยในท่วงท่าฟ้อนเล็บ ลวดลายเหล่านี้จะระยิบระยับต้องแสง เป็นจุดดึงสายตาอย่างมีเสน่ห์
เสื้อที่นิยมสวมคู่กับซิ่น มักเป็นเสื้อแขนยาวเข้ารูป ความยาวเสื้อจรดสะโพก ตัดเย็บด้วยผ้าซาตินหรือคอตตอนเนื้อเรียบ สีเดียวกับผ้าซิ่น มีดีเทลตะเข็บเข้ารูปและหัวไหล่ตั้งเล็กน้อย สะท้อนอิทธิพลของตะวันตกในงานตัดเย็บสมัยใหม่ ผมของผู้หญิงยุคนั้นมักเกล้าเป็นทรงสูงเรียบร้อย ประดับด้วยปิ่นทอง หรือดอกไม้ไหวเงินหรือทอง
ภาพถ่าย AI ชุดนี้จึงเป็นการ ระลึกถึงแม่ญิงล้านนา ทั้งรุ่นก่อนและรุ่นปัจจุบัน ที่ร่วมกันสืบสานวัฒนธรรมด้วยศรัทธาและความอ่อนช้อย ผ่านบทบาทของช่างฟ้อนและผู้มีส่วนร่วมในชีวิตวัดในชุมชน เสื้อผ้าเหล่านี้คือสิ่งที่มากกว่า “การแต่งกาย” — แต่คือ มรดกแห่งความผูกพัน ศิลปะ และอัตลักษณ์ ของผู้หญิงเมืองเหนือ ที่ถักทอไว้ด้วยผืนผ้า ความทรงจำ และหัวใจของวัฒนธรรมท้องถิ่น
แฟชั่นล้านนายุคเปลี่ยนผ่าน: การแต่งกายในทศวรรษ 2480
แฟชั่นล้านนายุคเปลี่ยนผ่าน: การแต่งกายในทศวรรษ 2480
คอลเลกชันภาพแฟชั่นชุดนี้สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี AI โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการแต่งกายของชายและหญิงในจังหวัดเชียงใหม่ ช่วงทศวรรษ 2480–2490 ซึ่งเป็นยุคเปลี่ยนผ่านสำคัญของวัฒนธรรมไทย การออกแบบเครื่องแต่งกายอ้างอิงจากภาพถ่ายโบราณและคำบอกเล่าท้องถิ่นในล้านนา ที่สะท้อนถึงความสง่างามและอัตลักษณ์ของชาวบ้านในช่วงเวลาก่อนที่การแต่งกายแบบตะวันตกจะถูกผลักดันให้เป็นมาตรฐานระดับชาติ
ชายหนุ่มในภาพสวม เสื้อราชประแตนสีขาว คู่กับ กางเกงสะดอ ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายแบบพิธีการของชาวเหนือ ขณะที่หญิงสาวสวม เสื้อแขนกระบอก กับ ผ้าซิ่น และ สะใบ แสดงถึงความอ่อนช้อยของหญิงล้านนาในยุคนั้น
ภาพเหล่านี้เป็น การสร้างสรรค์ด้วย AI ที่มุ่งหวังจะถ่ายทอดจินตนาการถึงการแต่งกายของชาวเชียงใหม่ในโอกาสสำคัญช่วงปี 2480s โดยเฉพาะในช่วงก่อนการบังคับใช้นโยบาย รัฐนิยม อย่างเต็มรูปแบบภายใต้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีผลโดยตรงต่อวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวล้านนาให้เป็นเป็นตามเป็นรัฐนิยม
การแต่งกายป้อจายเจียงใหม่ สมัยรัชกาลที่ 8 (ทศวรรษ 2470–2480)
การแต่งกายป้อจายเจียงใหม่ สมัยรัชกาลที่ 8 (ทศวรรษ 2470–2480)
คอลเลกชันที่สร้างขึ้นด้วย AI นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพถ่ายประวัติศาสตร์ที่แชร์โดยเพจเฟซบุ๊ก เชียงใหม่ที่คุณไม่เคยเห็น และ พิพัฒน์ วิพฑฺฒโน โดยภาพถ่ายต้นฉบับบันทึกเหตุการณ์ที่กลุ่มชาวบ้านร่วมงาน ปอยหลวงฉลองโรงเรียนปริยัติธรรม ณ วัดพระนอนหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่
ภาพถ่ายนี้น่าจะถูกบันทึกไว้ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2478–2482 ซึ่งเป็นช่วงต้นรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) โดยสามารถสังเกตได้จากพระบรมฉายาลักษณ์ที่แขวนอยู่บนฝาผนังชั้นบนของเรือนไม้ ซึ่งช่วยยืนยันช่วงเวลาของภาพได้อย่างชัดเจน
สิ่งที่สะดุดตามากที่สุดในภาพนี้ คือ การแต่งกายของชายชาวเชียงใหม่ หลายคนสวม เสื้อราชประแตน คู่กับ กางเกงสะดอหรือกางเกงพื้นเมืองแบบทางเหนืออย่างเรียบร้อย ซึ่งใช้เป็นชุดพิธีการสำหรับงานบุญสำคัญทางพระพุทธศาสนา ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบทางการของภาคกลางที่นิยมสวมเสื้อราชประแตนคู่กับ โจงกระเบน โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และพื้นที่โดยรอบ
ภาพนี้จึงนับเป็นหลักฐานสำคัญที่ให้เห็นถึง มุมมองด้านพิธีการของชายชาวล้านนา ผ่านเลนส์ของอัตลักษณ์ท้องถิ่นในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของการรวมศูนย์ทางวัฒนธรรม ซึีงสะท้อนให้เห็นถึงความภาคภูมิใจในรากเหง้าของผู้คนในภาคเหนือที่ยังคงแข็งแรง แม้สังคมไทยกำลังมุ่งสู่ความเป็นสมัยใหม่ในแบบรัฐชาติ
ที่สำคัญ ภาพถ่ายนี้เกิดขึ้นก่อนที่รัฐบาลจะประกาศใช้นโยบาย รัฐนิยม ในปี พ.ศ. 2484 ภายใต้การนำของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งมุ่งส่งเสริมให้ประชาชนหันมาแต่งกายแบบตะวันตก และลดการแต่งกายแบบไทยดั้งเดิม โดยเฉพาะในผู้ชาย เช่นในนโยบาย “มาลานำไทย” ที่รณรงค์ให้ชายไทยสวมหมวกและแต่งตัวให้ดูทันสมัยแบบตะวันตก
ดังนั้น ภาพถ่ายนี้จึงเป็นเสมือน หน้าต่างแห่งกาลเวลา ที่บันทึกอัตลักษณ์ของล้านนาไว้ ก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมครั้งใหญ่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และยุคแห่งความเป็นสมัยใหม่ที่ตามมา
เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นี้ และอนุรักษ์ภาพลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า ผมจึงได้สร้างผลงาน แฟชั่นป้อจายเจียงใหม่ด้วย AI โดยจินตนาการว่า ชายชาวเชียงใหม่ในช่วงปลายทศวรรษ 2470 สวมใส่ เสื้อราชประแตนสีขาว คู่กับ กางเกงสะดอ สะท้อนทั้งความเป็นทางการและความเป็นล้านนาในคราวเดียวกัน
ภาพเหล่านี้เป็น ภาพที่สร้างขึ้นด้วย AI ซึ่งเป็นการรังสรรค์เชิงดิจิทัลที่ตั้งใจจะเฉลิมฉลองและตีความถึงอัตลักษณ์ของป้อจายล้านนา และรูปแบบการแต่งกายของชายภาคเหนือในห้วงเวลาสำคัญของประวัติศาสตร์ไทย
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #flux #fluxlora
เทพบุตรสลุงหลวง – คอลเลกชัน AI รำลึกถึงประเพณีศักดิ์สิทธิ์ของชาวลำปาง
เทพบุตรสลุงหลวง – คอลเลกชัน AI รำลึกถึงประเพณีศักดิ์สิทธิ์ของชาวลำปาง
ในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี เมืองลำปางทางภาคเหนือของประเทศไทยจะจัดขบวนแห่ที่สง่างามและเปี่ยมด้วยความหมาย นั่นคือ ประเพณีสลุงหลวง ซึ่งมี "ขันเงิน" ใบใหญ่เป็นหัวใจสำคัญของพิธี ขันเงินนี้เป็นงานช่างฝีมือที่เกิดจากแรงศรัทธาและการร่วมแรงร่วมใจของชาวลำปาง ตั้งแต่เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2531 โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ใส่น้ำสรงถวาย พระแก้วดอนเต้าพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง
หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของขบวนแห่ คือ เทพบุตรสลุงหลวง ซึ่งมีจำนวน 6 คนในแต่ละปี แต่งกายด้วยเครื่องทรงสีขาวประดับด้วยเครื่องเงินแบบล้านนา ทำหน้าที่อัญเชิญและประคองขันสลุงหลวงตลอดเส้นทาง พวกเขาถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ การปกป้องคุ้มครอง และความเคารพบูชา โดย โอ – วรุฒ วรธรรม นักแสดงชื่อดัง คือบุคคลแรกที่ได้รับเกียรติให้เป็นเทพบุตรสลุงหลวงในประวัติศาสตร์เมื่อปี พ.ศ. 2531
คอลเลกชัน AI ชุด “เทพบุตรแห่งสลุงเงิน” นี้ได้รังสรรค์ภาพของเทพบุตรเหล่านี้ขึ้นใหม่ในโทน สีเงินทั้งชุด – ตั้งแต่เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ ไปจนถึงแสงเงาที่โอบล้อม สะท้อนถึงความสงบ ความศักดิ์สิทธิ์ และความสง่างามเหนือกาลเวลา เป็นการแสดงความเคารพต่อรากเหง้าวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของประเพณีที่ยังคงอยู่
พิธีกรรมแห่งปีใหม่เมืองตามความเชื่อของชาวลำปาง
ชาวลำปางมีความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับ ปี๋ใหม่เมือง ซึ่งสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน โดยแบ่งช่วงวันสำคัญออกเป็นลำดับดังนี้:
12 เมษายน – วันทำความสะอาดบ้าน
ในช่วงเย็น ครอบครัวจะเริ่มทำความสะอาดบ้าน เพื่อเตรียมต้อนรับปีใหม่อย่างเป็นสิริมงคล13 เมษายน – วันสังขารล่อง
ถือเป็นวันส่งท้ายปีเก่า ผู้คนจะอาบน้ำ สระผม ตัดเล็บ โกนหนวด และทำความสะอาดสิ่งของต่าง ๆ เพื่อขจัดสิ่งไม่ดีออกจากชีวิต14 เมษายน – วันเนา
เป็นวันรอยต่อระหว่างปีเก่าและปีใหม่ ตอนเช้าจะเตรียมสำรับอาหารทำบุญให้บรรพบุรุษ ช่วงบ่ายจะขนทรายจากแม่น้ำไปวัด เพื่อคืนทรายที่เคยเหยียบออกมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจะปัก ตุง 12 ราศี ลงบนกองทรายในช่วงเย็น ข้อห้ามของวันนี้คือ ห้ามด่า ห้ามว่า เพราะเชื่อว่าจะทำให้ “ปากเน่า”15 เมษายน – วันพญาวัน หรือ วันพระญาวัน
ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่อย่างเป็นทางการ ตอนเช้าจะถวายอาหารและทำบุญให้บรรพบุรุษ ช่วงบ่ายเริ่มพิธี รดน้ำดำหัว ขอขมาผู้ใหญ่และพระภิกษุสงฆ์16 เมษายน – วันปากปี
เป็นวันเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างแท้จริง จะมีการ ส่งเคราะห์ หรือ สืบชะตา ให้กับตนเองและครอบครัว รวมถึงรับประทานอาหารมงคล เช่น แกงขนุน ตำขนุน หรือขนุนสุก เพื่อเรียกโชคลาภให้เข้ามา
แม้เวลาจะเปลี่ยนไป แต่ ประเพณีแห่สลุงหลวง ยังคงดำรงอยู่เป็นดั่งเครื่องหมายแห่งจิตวิญญาณของชาวลำปาง เป็นการเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เข้าด้วยกันอย่างวิจิตร ด้วยภาพ AI เหล่านี้ เราหวังว่าจะสามารถถ่ายทอดเสน่ห์ของพิธีกรรมล้านนา ให้ยังคงเปล่งประกายในโลกยุคใหม่